ลักษณะและประโยชน์ในการใช้งาน
เมื่อพูดถึงการพักผ่อน คงไม่อาจหลีกเลี่ยงปัจจัยสำคัญอย่าง “ที่นอน” โดยส่วนใหญ่ ที่นอนมักประกอบด้วยไส้ในส่วนที่เป็นฟูก และสิ่งที่นำมาห่อหุ้ม ซึ่งวัสดุที่บรรจุด้านใน ก็แตกต่างกันไปตามจุดขาย และนวัตกรรมของทางบริษัทผู้ผลิต โดยอาจมีการเสริมฟองน้ำ เส้นใยอย่างพิเศษ หรือสปริง รวมถึงวัสดุอื่น ๆ เข้ามาเพื่อรองรับสรีระของผู้นอน เพื่อความสะดวกสบายสบายสูงสุด การมีที่นอนที่เหมาะสมกับตัวเอง มีคุณภาพ จะสามารถเสริมสร้างการนอนหลับให้ดียิ่งขึ้น ร่างกายได้พักผ่อน เกิดความสมดุล ยิ่งปัจจุบันมีการพัฒนาที่นอนหลากหลายรูปแบบ ทำให้เกิดประโยชน์ครอบคลุมในด้านต่าง ๆ ทั้งสุขภาพ บุคลิกภาพ และสภาพแวดล้อมอีกด้วย
ข้อมูลที่ควรเตรียมก่อนการเลือกซื้อ
- เตียงเดี่ยว (Single bed) 5 ฟุต
- เตียงคู่ (Double bed) 4 ฟุต
- เตียงคู่ขนาดควีน (Queen size bed) 5 ฟุต
- เตียงคู่ขนาดคิง (King size bed) 6 ฟุต
2. ความหนาของฟูกที่สอดคล้องกับเตียง
ความหนาของที่นอนหรือฟูกนอน คือเครื่องบ่งชี้คุณภาพอย่างหนึ่ง ตามความนิยมในท้องตลาด โดยความหนาที่มาก จะยิ่งทำให้ที่นอนนั้นมีราคาสูง บางครั้งผู้ขายอาจกล่าวว่า “ความหนา” หรือ “ความสูง” ของฟูก ทั้ง 2 สิ่งนี้หมายถึงอย่างเดียวกัน ซึ่งในความหนาที่มากขึ้นนั้น คือการที่บริษัทผู้ผลิตใส่วัสดุพิเศษเพื่อรองรับผู้นอน โดยขั้นตอนต่อจากนี้ ในฐานะผู้ซื้อ ก็ควรหาข้อมูลก่อนว่าภายในฟูกนอนนั้น บรรจุอะไรไว้บ้าง
- ที่นอนยางพารา
ข้อดี : สัมผัสนุ่มหยุ่น ไม่อับ ไม่ก่อให้เกิดภูมิแพ้
ข้อเสีย : ราคาแพง น้ำหนักมาก ยากต่อการขนย้าย - ที่นอนฟองน้ำ
ข้อดี : ทนทาน ราคาถูก นิยมใช้ตามหอพัก
ข้อเสีย : เมื่อใช้ไปนาน ๆ จะยุบเป็นรอยตัว เกิดฝุ่นละอองสะสมได้ง่าย - ที่นอนสปริง
ข้อดี : รองรับนำหนักตัวและสรีระได้ดี
ข้อเสีย : เมื่อใช้ไปนาน ๆ จะเกิดเสียงจากสปริงที่เสื่อม รบกวนการนอน - ที่นอนนุ่น
ข้อดี : นอนสบาย ขนย้ายง่าย
ข้อเสีย : เมื่อใช้ไปนาน ๆ จะอับ และอบสะสมความร้อนไว้
- ที่นอนต้องรองรับกระดูกสันหลัง : เมื่อลองนอนแล้ว กระดูกสันหลังต้องโค้งในลักษณะเดียวกับตอนยืน
- ที่นอนต้องรองรับการเปลี่ยนท่าทางอย่างอิสระ : เมื่อลองพลิกไปพลิกมา ต้องไม่เกิดเสียง หรือกระเด้งกระดอน จนอาจรบกวนการนอนหลับ
ที่นอนต้องรองรับการเคลื่อนไหวขึ้น-ลง : เมื่อขึ้น-ลงจากเตียง ต้องไม่กระเทือนไปยังอีกฝั่ง ซึ่งอาจเป็นการรบกวนคู่นอนทุกครั้งที่ต้องลุกไปห้องน้ำ
คุณสมบัติที่ควรสอบถามจากผู้ขาย
- ประเภทของที่นอน
เมื่อไปถึงร้านค้า สิ่งแรกที่ควรแจ้งแก่ผู้ขายคือประเภทที่นอนที่ต้องการ ว่าสำหรับเตียงชนิดใด ซึ่งสิ่งนี้จะเป็นการลดขอบเขตการค้นหา เพื่อให้ตรงกับคววามต้องการมากขึ้น และสามารถทำให้ผู้ซื้อสามารถมองหาสิทธิประโยชน์อื่น ๆ ได้คุ้มค่ามากขึ้น เช่น โปรโมชั่น กิจกรรมสนับสนุนการขาย เป็นต้น - ชนิดของที่นอน
ชนิดที่นอนมักขึ้นอยู่กับวัสดุที่นำมาผลิต อาทิ ยางพารา ฟองน้ำ นุ่น สปริง เป็นต้น ยกตัวอย่างเช่น ที่นอนสปริง ก็จะมีชนิดแยกย่อยอีกแตกต่างกันไป ซึ่งนอกเหนือไปจากข้อมูลเบื้องต้นที่ผู้ซื้อหามาด้วยตัวเอง ผู้ขายจะสามารถให้ข้อมูลเชิงลึกได้อีก ว่าเป็นสปริงประเภทใด เหมาะกับไลฟ์สไตล์การนอนแบบไหน - ประสิทธิภาพ
สิ่งที่จะวัดว่าที่นอนของคุณคุ้มค่าเงินหรือไม่ คือการได้ทดสอบประสิทธิภาพการใช้งาน โดยทั่วไปแล้วตามร้านขายเครื่องนอน จะมีตัวอย่างที่นอนให้ทดลองได้ ลองนั่ง ลองนอนพลิกตัวไปมาได้เลย ไม่ต้องอาย นอกจากนั้นอย่าลืมอ่านเอกสารที่บอกความพิเศษของที่นอนชิ้นนั้น ๆ ให้ครบถ้วน จะทำให้คุณทราบว่าแต่ละรุ่นมีรายละเอียดปลีกย่อย ที่แตกต่างกันอย่างไร - นวัตกรรมหรืองานวิจัย
ทุกวงการย่อมมีการพัฒนาสินค้าใหม่ ๆ ให้ได้คุณภาพมากยิ่งขึ้น สำหรับที่นอนเองก็เหมือนกัน โดยเฉพาะในเรื่องของสุขภาพการนอนหลับ ซึ่งกลายมาเป็นจุดขายสำคัญ ตัวอย่างเช่น ที่นอนกันไรฝุ่น ลดการสะสมของแบคทีเรีย สิ่งเหล่านี้เป็นจุดเด่นสำคัญที่ผู้ซื้อไม่ควรมองข้าม และหากมีสินค้าประเภทที่นำนวัตกรรมใหม่มาประยุกต์ใช้ ก็ควรสอบถามผู้ขายให้ละเอียด รวมไปถึงที่นอนยางพารา ซึ่งเป็นอีกหนึ่งสิ่งประดษฐ์น่าจับตามอง ควรสอบถามผู้ขายเพื่อศึกษาข้อมูลเชิงลึกเพิ่มเติม - มาตรฐานการผลิต
สิ่งนี้สำคัญมาก หากผู้ซื้อเกิดความสับสน ไม่มั่นใจ ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลที่ทางผู้ผลิตสินค้าโฆษณา หรือข้อมูลที่ผู้ขายแจ้งมา การตรวจสอบมาตรฐานการผลิต เหมือนเป็นการคัดกรองเบื้องต้นที่กฎหมายเอื้อให้แก่ผู้บริโภค ง่ายที่สุดคือมองหาสัญลักษณ์ มอก. หรือตัวย่อจำพวก ISO แล้วตามด้วยตัวเลขต่าง ๆ ก็ช่วยได้เช่นกัน ซึ่งสัญลักษณ์เหล่านี้การันตีได้ว่า สินค้าที่คุณจะซื้อได้มาตรฐานตามที่กฎหมายกำหนด - การรับประกัน
บางคนอาจไม่เคยรู้มาก่อน แต่ที่จริงแล้วการซื้อที่นอนที่มีคุณภาพ ทางบริษัทผู้ผลิตควรมีการรับประกันสินค้าให้เสมอ โดยระยะเวลาการรับประกันมักจะขึ้นอยู่กับวัสดุที่นำมาผลิต ตั้งแต่ 3 ปี 5 ปี หรือบางรายอาจรับประกันกว่า 10 ปี นอกเหนือจากระยะเวลาที่ทางบริษัทผู้ผลิตเคลมแล้ว ผู้ซื้อยังสามารถสอบถามถึงขั้นตอนการเคลมที่เกิดขึ้นจริงกับผู้ขายได้ด้วย ซึ่งจุดนี้ควรถาม เพื่อให้ได้ข้อมูลเปรียบเทียบเชิงลึกมากที่สุด บริษัทผู้ผลิตบางรายอาจมีขั้นตอนการเคลมยุ่งยาก มีค่าใช้จ่ายปลีกย่อยอื่น ๆ ในขณะที่บางรายอาจบริการด่วนทันใจก็ได้ - บริการหลังการขาย
บริการหลังการขายมักจะขึ้นอยู่กับร้านค้าที่จำหน่ายที่นอนให้แก่คุณ ระหว่างห้างสรรพสินค้า กับร้านที่ขายเฉพาะเครื่องนอน แนะนำว่าเลือกซื้อในร้านที่ขายเฉพาะเครื่องนอน คุณจะได้รับข้อเสนอการขายที่ดีกว่า เช่น ในห้างฯ คุณอาจได้เงื่อนไขมาตรฐานคืนสินค้าทุกกรณีใน 7 วัน และเปลี่ยนสินค้าชำรุดใน 30 วัน แต่ในขณะที่ซื้อทางร้านขายเครื่องนอน คุณอาจได้ระยะเวลาขยายถึง 45 วัน หรือมากกว่านั้นแล้วแต่ร้าน และอาจพ่วงมาพร้อมบริการขนส่งฟรีเมื่อต้องเคลม ทำความสะอาดเครื่องนอนแบบล้ำลึกให้ฟรีรายปี อีกด้วย
ข้อมูลเพิ่มเติม
- การดูแลรักษา
หลายครั้งเมื่อซื้อที่นอนกลับมา เรามักจะมัวคำนึงถึงประสิทธิภาพ และการนอนหลับสบาย จนลืมสอบถามวิธีการดูแลรักษา ซึ่งที่นอนบางชนิดที่มีความพิเศษอยู่แล้ว อาจไม่ต้องการการซักล้างตามปกติ เพียงแค่ใช้น้ำยาทำความสะอาดโดยเฉพาะก็พอ ในขณะที่ที่นอนบางประเภท ไม่สามารถโดนน้ำได้เลย ดังนั้นการเลือกซื้อแผ่นรองนอนมาหุ้มอีกครั้งคือสิ่งจำเป็น และในขณะที่ที่นอนบางประเภท เพียงต้องการให้เอาออกมาปัดฝุ่น และตากแดดเท่านั้น สิ่งเหล่านี้ควรสอบถามกับผู้ขายให้กระจ่าง และอ่านคู่มือการใช้งานที่แนบมากับสินค้าด้วย - อายุการใช้งาน
โดยส่วนใหญ่แล้ว อายุการใช้งานของที่นอน มักจะสอดคล้องกับช่วงเวลาที่ทางบริษัทผู้ผลิตรับประกัน บางรายอาจรับประกันที่นอนสปริงกว่า 12 ปี ซึ่งตลอดอายุการใช้งานก็แทบไม่พบปัญหา แต่เมื่อเกินระยะเวลารับประกันไปแล้ว กลับเริ่มได้ยินเสียงเอี๊ยดอ๊าดดังออกมา นี่คือสิ่งที่สะท้อนให้เห็นว่าวัสดุที่ใช้กำลังเริ่มเสื่อมสภาพ ดังนั้นผู้ซื้อควรทำความเข้าใจถึงธรรมชาติของวัสดุแต่ละชนิด เพื่อที่จะได้ปรับเปลี่ยนตามอายุการใช้งานให้เหมาะสม หรือแม้แต่ที่นอนกันไรฝุ่น กันเชื้อโรค หากฝืนใช้นานเกินอายุการใช้งานที่สมควร ประสิทธิภาพที่เคยโดดเด่นก็จะพร่องไป ดังนั้นเพื่อสุขภาพการนอนที่ดี จึงควรใส่ใจข้อเท็จจริงนี้ด้วย ควรเปลี่ยนเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม
ข้อมูลเพิ่มเติม : Product available : Product recommended : Review : Knowledge